วิธีป้องกันแสงแดดและความร้อนที่เข้ามาทางช่องเปิดกระจก คือ การติดฟิล์มกรองแสงอาคาร (Building Film) ซึ่งสามารถติดได้ทั้งบ้านสร้างใหม่ และบ้านเก่า โดย ฟิล์มกรองแสง มีคุณสมบัติกันร้อนที่ดี ควรมีคุณสมบัติในการสะท้อนรังสีความร้อน (Infrared Radiation) ได้ดี และป้องกันรังสียูวีได้กว่า 99 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เสียหายก่อนเวลาอันควร และยังคงมองออกไปก็ยังให้ทัศนวิสัยที่ชัดเจน 

ปัจจุบัน “ฟิล์มกรองแสง” หรือ “ฟิล์มกันร้อน” มีให้เลือกหลายชนิด ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการใช้งาน รวมถึงงบประมาณในกระเป๋าด้วย วันนี้ KACHA จะพาไปดูกันว่ามอะไรบ้าง?

ประเภทของ ฟิล์มกรองแสง ฟิล์มกันร้อน อาคาร

1. ฟิล์มปรอท

คือ ฟิล์มที่ผสมโลหะต่าง ๆ ในการผลิต ไม่ได้ฉาบสารปรอทในเนื้อฟิล์มแต่อย่างใด ทำให้เนื้อฟิล์มมีความมันวาว สามารถสะท้อนแสง และป้องกันความร้อนได้ดี ให้ความเป็นส่วนตัว เพราะมองเข้ามาไม่เห็นจากภายนอก เมื่อภายในมืดกว่า แต่ความมันวาวของฟิล์มที่คล้ายกระจกเงา จะมีการสะท้อนแสง อาจทำให้ไปรบกวนเพื่อนบ้านได้ และจากภายในมองออกมาจะไม่ชัดเจนนัก

210529-Content-ฟิล์มกันร้อนฟิล์มกรองแสง-เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับบ้าน02

ฟิล์มปรอท เหมาะกับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง หรือบ้านที่ต้องการฟิล์มกรองแสงราคาประหยัด แต่ช่วยกันความร้อนเข้ามาในบ้านได้ดี แนะนำให้ติดฟิล์มที่บริเวณชั้นล่าง เพื่อลดแสงสะท้อนเข้าตาผู้อื่น

2. ฟิล์มดำ

คือ ฟิล์มที่มีการเคลือบสาร หรือโลหะต่าง ๆ ทำให้มีสีดำเข้ม เนื้อฟิล์มที่มีความเข้มสูง สามารถกรองแสง หรือช่วยลดความร้อนได้ดี แสงผ่านเข้ามาได้น้อย แต่จะทำให้ทัศนวิสัยมืดลงเช่นกัน ทั้งนี้ระดับความเข้มของฟิล์ม จะมีให้เลือกตั้งแต่ 40, 60 หรือ 80 และมีให้เลือกตั้งแต่เกรดธรรมดา คือ การย้อมสีในเนื้อฟิล์ม ไปจนถึงฟิล์มเกรดพรีเมียมที่มีการใส่สารโลหะต่าง ๆ เพื่อช่วยป้องกันความร้อน

210529-Content-ฟิล์มกันร้อนฟิล์มกรองแสง-เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับบ้าน03

ฟิล์มดำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่เมื่อมองจากด้านในออกไปจะไม่มืดมาก รวมถึงห้องที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากโดนแสงแดดช่วงบ่ายตลอดทั้งวัน ดังนั้น ก่อนติดฟิล์มดำ ควรทดสอบความเข้มของฟิล์มที่เหมาะสม ห้องจะได้ไม่มืดเกินไป

3. ฟิล์มใสกันร้อน

คือ ฟิล์มที่ยอมให้แสงสว่างส่องผ่านได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ป้องกันรังสี UV และรังสีอินฟราเรดได้สูง จึงยังคงมีทัศนวิสัยที่ชัดเจน เมื่อติดฟิล์มแล้ว รู้สึกเหมือนไม่ติด การผลิตฟิล์มใสกันร้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในขั้นตอนการผลิต เช่น การเคลือบแผ่นฟิล์มโดยใช้เทคโนโลยีนาโน หรือการเคลือบแบบ Spluttering ช่วยป้องกันความร้อน โดยการสะท้อนรังสีอินฟราเรด และป้องกันรังสียูวีได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ฟิล์มใสกันร้อนมีราคาสูง เมื่อเทียบกับฟิล์มกรองแสงประเภทอื่น ๆ

ฟิล์มใสกันร้อน เหมาะกับบ้านที่ต้องการป้องกันความร้อน และรังสียูวีโดยเฉพาะ แต่ไม่บดบังทัศนวิสัย รวมถึงผู้พักอาศัยบนอาคารสูง ที่ต้องการชมวิวยามค่ำคืน หรือหน้าร้านค้าที่ต้องการโชว์สินค้า

4. ฟิล์มนิรภัย

คือ ฟิล์มที่มีความเหนียวเป็นพิเศษ โดยมีความหนามากกว่าฟิล์มทั่วไปประมาณ 3-5 เท่า หากเกิดอุบัติเหตุทำให้กระจกแตก ฟิล์มจะช่วยยึดกระจกไม่ให้หลุดร่วงลงมาทำอันตรายแก่ชีวิต และทรัพย์สิน นอกจากนี้ฟิล์มที่มีความหนามาก ๆ ยังช่วยยืดระยะเวลาการทุบทำลายกระจกจากการโจรกรรม หรือใช้ป้องกันภัยจากกระสุนปืน หรือแรงระเบิดได้ และยังมีคุณสมบัติช่วยกรองแสง และป้องกันความร้อนได้อีกด้วย

210529-Content-ฟิล์มกันร้อนฟิล์มกรองแสง-เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับบ้าน05

ฟิล์มนิรภัย เหมาะกับผู้ที่ต้องการป้องกันอันตรายให้กับผู้อยู่อาศัย และคนเดินเท้า ที่อาจได้รับอันตรายจากกระจกแตก และยังช่วยลดความร้อนจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาภายในอาคาร

ติดฟิล์มกรองแสง ความเข้มเท่าไหร่ถึงจะดี

ระดับความเข้มของฟิล์ม จะมีให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็น 40, 60 หรือ 80 และฟิล์มใส ซึ่งระดับความเข้ม แสงสว่างส่องผ่าน ที่แตกต่างกัน จึงควรพิจารณาการใช้งานภายในห้อง และทิศทางของแสงแดดด้วย

  • ห้องนอน อยากได้ความมืด หรือความเป็นส่วนตัวสูง แนะนำให้เลือกความเข้ม 80 %
  • ห้องนั่งเล่นอยู่ที่ทางทิศตะวันตก แสงแดดส่องเข้ามาในช่วงบ่าย แนะนำให้เลือกฟิล์มที่มาความเข้มกลาง ๆ ประมาณ 60 %
  • ห้องรับประทานอาหาร ห้องรับแขก และห้องทั่วไป แนะนำฟิล์มกรองแสงความเข้ม 40 % จะช่วยทำให้ห้องดูโปร่ง โล่ง สบาย ไม่อึดอัด
210529-Content-ฟิล์มกันร้อนฟิล์มกรองแสง-เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับบ้าน06

ความเข้มของฟิล์มกรองแสง ดูอย่างไร?

ให้ดูที่ค่าแสงสว่างส่องผ่าน (Visible Light Transmission หรือ VLT) ซึ่งมีความแม่นยำที่สุด เนื่องจากความเข้มของฟิล์มที่เรียกกันว่า 40, 60 หรือ 80 นั้น เป็นการเรียกแบบง่าย ๆ เท่านั้น จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจไม่ตรงกัน ทั้ง ๆ ที่ฟิล์มเข้ม 60 เหมือนกัน แต่ถ้าแบรนด์ต่างกัน ความเข้มจริง ๆ แสงสว่างส่องผ่าน อาจจะต่างกันก็เป็นได้

  • ฟิล์มเข้ม 40 คือ ฟิล์มกรองแสงที่ยอมให้แสงส่องผ่านได้ 30-40 %
  • ฟิล์มเข้ม 60 คือ ฟิล์มกรองแสงที่ยอมให้แสงส่องผ่านได้ 15-20 %
  • ฟิล์มเข้ม 80 คือ ฟิล์มกรองแสงที่ยอมให้แสงส่องผ่านได้ 3-7 %
  • ฟิล์มใสกันร้อน คือ ฟิล์มกรองแสงที่ยอมให้แสงส่องผ่านได้ 70 %
???????? การติดตั้งฟิล์มกรองแสงอาคาร จะคิดราคาเป็นตารางฟุต แต่ถ้าไม่สะดวกใจจะคำนวณเป็นตารางเมตรก็ได้ (1 ตารางเมตร มีค่าประมาณ 10.8 ตารางฟุต) ทั้งนี้ฟิล์มกรองแสงมีราคาตั้งแต่ 50-400 บาทต่อตารางฟุต ขึ้นอยู่ประเภท และแบรนด์ของฟิล์มกรองแสงนั้น ๆ

  • ฟิล์มดำ : ราคาเริ่มต้นที่ 50 บาทต่อตารางฟุต
  • ฟิล์มปรอท : ราคาเริ่มต้นที่ 65 บาทต่อตารางฟุต
  • ฟิล์มใสกันร้อน : ราคาเริ่มต้นที่ 120 บาทต่อตารางฟุต
  • ฟิล์มนิรภัย : ราคาเริ่มต้นที่ 150 บาทต่อตารางฟุต

วิธีการดูแลรักษาฟิล์มกรองแสง

โดยทั่วไปฟิล์มกรองแสง จะมีการรับประกันเริ่มต้นที่ 5-7 ปี แต่อายุการใช้งานจริงจะมากกว่านั้น ถ้าเราดูแลรักษาอย่างถูกวิธี

  • การทำความสะอาด ให้ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ ผ้าที่มีเนื้อนุ่ม ไม่มีขน กับน้ำสะอาด หรือสบู่ชนิดอ่อน เช็ดทำความสะอาดบนผิวฟิล์มกรองแสง
  • ห้ามใช้น้ำยาล้างกระจกที่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย เนื่องจากแอมโมเนีย จะทำปฏิกิริยากับฟิล์ม ส่งผลให้กาวเสื่อมสภาพ และเนื้อฟิล์มแข็งกระด้าง ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมเลือกใช้ ฟิล์มกรองแสง ฟิล์มกันร้อน ให้เหมาะสมกับบ้านกันด้วยนะจ๊ะ ????????✨

>>สามารถติดตามบทความต่าง ๆ ของ KACHA ได้ตามนี้เลย<<